- ^^ - รัฐสภาไทย

รัฐสภาไทย
รัฐสภาแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นสถาบันที่พระมหากษัตริย์ไทยพระราชทานอำนาจให้เป็นผู้ออกกฎหมายสำหรับการปกครองและการบริหารประเทศ ซึ่งเรียกว่า อำนาจนิติบัญญัติ รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติให้รัฐสภา ประกอบด้วย วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะประชุมร่วมกัน หรือแยกกัน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา เป็นรองประธานรัฐสภา โดยตำแหน่ง
ประวัติรัฐสภาไทย
รัฐสภาของประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวฉบับแรก เมื่อผู้แทนราษฎรจำนวน 70 คนซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้เปิดประชุมสภาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และเมื่อการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรทั่วประเทศได้สำเร็จลง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ได้พระราชทานพระที่นั่งอนันตสมาคมองค์นี้แก่ผู้แทนราษฎรเพื่อใช้เป็นที่ประชุมสืบต่อมา
ต่อมา เมื่อจำนวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากขึ้นตามอัตราส่วนของจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่กว่า เพื่อให้มีที่ประชุมเพียงพอกับจำนวนสมาชิก และมีที่ให้ข้าราชการสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาใช้เป็นที่ทำงาน จึงได้มีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นใหม่ถึง 4 ครั้งด้วยกัน แต่ก็ต้องระงับไปถึง 3 ครั้ง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดำริต้องพ้นจากตำแหน่งไปเสียก่อน
ในครั้งที่ 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสำเร็จ ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงยืนยันพระราชประสงค์เดิมที่จะให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและบริเวณ เป็นที่ทำการของรัฐสภาต่อไป และยังได้พระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้างสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาขึ้นใหม่ด้วย
สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา เริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 โดยมีกำหนดสร้างเสร็จภายใน 850 วัน ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 51,027,360 บาท ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง คือ
*  หลังที่ 1 เป็นตึก 3 ชั้นใช้เป็นที่ประชุมวุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร และการประชุมร่วมกันของสภาทั้งสอง ส่วนอื่นๆ เป็นที่ทำการของสำนักงานเลขาธิการรัฐสภา ประธาน และรองประธานของสภาทั้งสอง
*  หลังที่ 2 เป็นตึก 7 ชั้น ใช้เป็นสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาและโรงพิมพ์รัฐสภา
*  หลังที่ 3 เป็นตึก 2 ชั้นใช้เป็นสโมสรรัฐสภา
สถานที่ทำการใหม่ของรัฐสภา ใช้ในการประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2517 สำหรับพระที่นั่งอนันตสมาคม ถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และใช้เป็นที่รับรองอาคันตุกะบุคคลสำคัญ ใช้เป็นสถานที่ประกอบรัฐพิธีเปิดสมัยประชุม รัฐพิธีฉลองวันพระราชทานรัฐธรรมนูญ และมีโครงการใช้ชั้นล่างของพระที่นั่งเป็นจัดสร้างพิพิธภัณฑ์รัฐสภา
ประธานรัฐสภาไทย

การประชุมรัฐสภาไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมสมัย พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี
ดูบทความหลักที่ รายนามประธานรัฐสภาไทย
จนถึงปัจจุบัน รัฐสภาไทย มีผู้ดำรงตำแหน่ง ประธานรัฐสภา รวม 28 คน ดังนี้
  1. เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร
-  28 มิถุนายน - 1 กันยายน 2475
-  15 ธันวาคม 2475 - 26 กุมภาพันธ์ 2476
  2. เจ้าพระยาพิชัยญาติ ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร
-  2 กันยายน 2475 - 10 ธันวาคม 2476
  3. พลเรือตรี พระยาศรยุทธเสนี (พลเรือตรี กระแส ประวาหะนาวิน)
. ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร
- 26 กุมภาพันธ์ 2476 - 22 กันยายน 2477
- 6 กรกฎาคม 2486 -24 มิถุนายน 2487
* ประธานรัฐสภา และประธานพฤฒสภา
-  31 สิงหาคม 2489 - 9 พฤษภาคม 2490
-  15 พฤษภาคม 2490 - 8 พฤศจิกายน 2490
-  ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร
-  22 กันยายน 2477 - 15 ธันวาคม 2477
-  17 ธันวาคม 2477 - 31 กรกฎาคม 2478
-  7 สิงหาคม 2478 - 31 กรกฎาคม 2479
-  ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา
-  26 พฤศจิกายน 2490 - 18 กุมภาพันธ์ 2491
-  20 กุมภาพันธ์ 2491 - 14 มิถุนายน 2492
-  15 มิถุยายน 2492 - 20 พศจิกายน 2493
-  22 พฤศจิกายน 2493 - 29 พฤศจิกายน 2494
  5. พระยามานวราชเสวี (ปลอด วิเชียร ณ สงขลา) ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร
-  3 สิงหาคม 2479 - 10 ธันวาคม 2480
-  10 ธันวาคม 2480 -24 มิถุนายน 2481
-  28 มิถุยายน 2481 - 10 ธันวามคม 2481
-  12 ธันวาคม 2481 - 24 มิถุนายน 2482
-  28 มิถุนายน 2482 - 24 มิถุนายน 2483
-  1 กรกฎาคม 2483 - 24 มิถุนายน 2484
-  1 กรกฎาคม 2484 - 24 มิถุนายน 2485
-  30 มิถุนายน 2485 - 24 มิถุนายน 2586
-  2 กรกฎาคม 2487 - 24 มิถุนายน 2488
-  29 มิถุนายน 2488 - 15 ตุลาคม 2488
-  26 มกราคม 2489 - 9 พฤษภาคม 2489
  6. พันตรีวิลาศ โอสถานนท์ ประธานรัฐสภา และประธานพฤฒสภา
-  4 มิถุนายน 2489 - 24 สิงหาคม 2489
  7. พลเอก พระประจนปัจนึก (พุก มหาดิลก) ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร
+  1 ธันวาคม 2494 - 17 มีนาคม 2495
+  22 มีนาคม 2495 - 23 มิถุนายน 2495
+  28 มิถุนายน 2495 -23 มิถุนายน 2496
+  2 กรกฎาคม 2496 - 23 มิถุนายน 2497
+  29 มิถุนายน 2497 - 23 มิถุนายน 2498
+  2 กรกกาคม 2498 - 23 มิถุนายน 2499
 +   30 มิถุนายน 2499 - 25 กุมภาพันธ์ 2500
+  16 มีนาคม 2500 - 23 มิถุนายน 2500
+  28 มิถุนายน 2500 - 16 กันยายน 2500
+  27 ธันวาคม 2500 - 23 มิถุนายน 2501
+  25 มิถุนายน 2501 - 20 ตุลาคม 2501
  8. พลเอก หลวงสุทธิสารรณกร (สุทธิ์ สุทธิสารรณกร)
-  ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร
-  20 กันยายน 2500 - 14 ธันวาคม 2500
-  ประธานรัฐสภา ประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ
-  6 กุมภาพันธ์ 2502 - 17 เมษายน 2511
  9. นายทวี บุณยเกตุ ประธานรัฐสภา และประธานสภาร่างรัฐธรรมนูญ
-  8 พฤษภาคม2511 -20 มิถุนายน 2511
  10. พันเอก นายวรการบัญชา (บุญเกิด สุตันตานนท์) ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา
-  22 กรกฎาคม 2511 - 6 กรกฎาคม 2514
-  7 กรกฎาคม 2514 - 17 พฤศจิกายน 2514
  11. พลตรีศิริ สิริโยธิน ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
-  18 ธันวามคม 2515 - 11 ธันวาคม 2516
 12. พลตรี หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
-  29 ธันวาคม 2516 -7 ตุลาคม 2517                                                                                                                           

13. นายประภาศน์ อวยชัย ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
-  17 ตุลาคม 2517 - 25 มกราคม 2518
14. นายประสิทธิ์ กาญจนวัฒน์ ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร
-  7 กุมภาพันธ์ 2518 -12 มกราคม 2519
  15. นายอุทัย พิมพ์ใจชน ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราญฏร
-  19 เมษายน 2519 - 6 ตุลาคม 2519
-  6 กุมภาพันธ์ 2544 - 5 มกราคม 2548
  16. พลอากาศเอก กมล เดชะตุงคะ ประธานที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดินและประธานรัฐสภา
-  22 ตุลาคม 2519 - 20 พฤศจิกายน 2519
  17. พลอากาศเอก หะริน หุงสกุล
-  ประธานรัฐสภา และประธานสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน
-  28 พฤศจิกายน 2519 - 20 ตุลาคม 2520
-  ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
-  25 พฤศจิกายน 2520 - 22 เมษายน 2522
-  ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา
-  9 พฤษภาคม 2522 - 19 มีนาคม 2526
  18. นายจารุบุตร เรืองสุวรรณ ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา
-  26 เมษายน 2526 - 19 มีนาคม 2527
-  ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา
-  30 เมษายน 2527 - 30 เมษายน 2528
-  1 พฤษภาคม 2528 - 23 เมษายน 2530
-  24 เมษายน 2530 - 22 เมษายน 2532
-  3 เมษายน 2335 - 26 พฤษภาคม 2535
-  ประธานรัฐสภา และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
- 2 เมษายน 2534 - 21 มีนาคม 2535
  20. ร้อยตำรวจตรี วรรณ ชันซื่อ ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา
-  4 พฤษภาคม 2532 - 23 กุมภาพันธ์ 2534
  21. นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานรัฐสภา และประธานวุฒิสภา
-  28 มิถุนายน 2535 - 29 มิถุนายน 2535
 22. ศาสตราจารย์มารุต บุนนาค ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร
-  22 กันยายน 2535 - 19 พฤษภาคม 2538
  23. นายบุญเอื้อ ประเสริฐสุวรรณ ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร
-  11 กรกฎาคม 2538 27 กันยายน 2538
  24. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร
-  24 พฤศจิกายน 2539 - 27 มิถุนายน 2543
  25. นายพิชัย รัตตกุล ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร
-   30 มิถุนายน 2543 - 9 พฤศจิกายน 2543
  26. นายโภคิน พลกุล ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร
-  8 มีนาคม 2548 - 24 กุมภาพันธ์ 2549
  27. นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร
-  23 มกราคม 2551 - เมษายน 2551
  28. นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฏร
-  15 พฤษภาคม 2551 - 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
สำหรับรัฐสภาของประเทศไทย กำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 และมีการเปิดประชุมสภาขึ้นเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ต่อมาเมื่อจำนวนสมาชิกรัฐสภาต้องเพิ่มมากขึ้นตามอัตราส่วนของจำนวนประชากร ที่เพิ่มขึ้น จึงเกิดความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างอาคารรัฐสภาที่มีขนาดใหญ่กว่า แต่พอมีการวางแผนการจัดสร้างอาคารรัฐสภาขึ้นใหม่ถึง 4 ครั้ง ก็ต้องระงับไป 3 ครั้ง เพราะคณะรัฐมนตรีผู้ดำริต้องพ้นจากตำแหน่งเสียก่อน
ในครั้งที่ 4 แผนการจัดสร้างรัฐสภาใหม่ได้ประสบผลสำเร็จด้วยพระมหากรุณาธิคุณของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิ ทรงยืนยันพระราชประสงค์เดิมที่จะให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมและบริเวณ เป็นที่ทำการของรัฐสภาต่อไป อีกทั้งยังได้พระราชทานที่ดินบริเวณทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ให้เป็นที่จัดสร้างสำนักงานเลขาธิการรัฐสภาขึ้นใหม่ด้วย โดยเริ่มก่อสร้างเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 ใช้งบประมาณ 51,027,360 บาท จากนั้นเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช มีมติเห็นชอบอนุมัติงบประมาณเป็นเงิน 12,000 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ บนเนื้อที่ 119 ไร่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณราชพัสดุ ถนนทหาร (เกียกกาย) เขตดุสิต และทำการคัดเลือกแบบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ไปตั้งแต่ปลายปี 2552 แล้วนั้น
ล่าสุดวันที่ 4 สิงหาคม นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฏร แถลงถึงความคืบหน้าในการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยระบุว่าขณะนี้การเตรียมการทุกอย่างดำเนินการไปเกือบ 90% โดยใช้งบประมาณราว 4,000-5,000 ล้านบาท เพื่อชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบ และตอนนี้อยู่ระหว่างการออกแบบในรายละเอียดพื้นที่ใช้สอยให้ได้ประโยชน์ สูง สุด 3 แสนตารางเมตร ซึ่งคาดว่าจะเสร็จในช่วงปลายปี 2553 และเปิดประมูลได้ในต้นปี 2554 ซึ่งคาดว่าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่จะแล้วเสร็จ พร้อมเปิดใช้ได้ภายในปี 2556 โดยใช้เวลาก่อสร้าง 900 วัน นับตั้งแต่เริ่มก่อสร้าง หรืออาจจะเร็วกว่านั้น
ขณะเดียวกัน ก็ระบุว่าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ได้มีหมายวางศิลาฤกษ์แล้ว โดยคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบตั้งแต่ปี 2552 สมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช และที่สำคัญได้รับงบประมาณตั้งแต่ปี 2554 และได้รับต่อเนื่องในปี 2555-57 ซึ่งรวมทั้งหมดเป็นงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าการก่อสร้างจะเรียบร้อยไม่มีปัญหา ที่สำคัญได้กราบบังคมถวายคืนอาคารรัฐสภาปัจจุบันแล้ว
สำหรับรูปแบบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่นั้น เป็นผลงานการออกแบบของกลุ่ม นายธีรพล นิยม ชื่อ สัปปายะสภาสถานโดยคำว่า สัปปายะ แปลว่า สบาย ในทางธรรม หมายถึงสถานที่ประกอบกรรมดี ดังนั้น จึงออกแบบให้สอดคล้องกับแนวคิดซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมไทย และนำหลักการสถาปัตยกรรมไทยแบบแผนไตรภูมิตามพุทธคติมาเป็นแรงบันดาลใจออกแบบ ทำให้มีอาคารเครื่องยอดสถาปัตยกรรมไทยอยู่ตรงกลางอาคารหลัก เพื่อชูสัญลักษณ์ความเป็นไทย มีการอันเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากรัฐสภาเก่าไว้บนยอด และใช้แม่น้ำเจ้าพระยาเป็นจุดเด่น
รวม ถึงมีสนามหญ้าสีเขียวแลดูรื่นรมย์อยู่ด้านหน้า เปิดกว้างปราศจากกำแพงกลางกั้น มีเพียงสายน้ำกั้นกลาง เพื่อเปิดกว้างระหว่างประชาชนกับสมาชิกสภา มีพิพิธภัณฑ์ประชาธิปไตยสุดอลังการอยู่ชั้นบนสุด มีกำแพงแก้ว หรือ พิพิธภัณฑ์ชาติไทย เพื่อให้ประชาชนเรียนรู้ได้ มีโถงรับรอง ส.ส. ส.ว. โถงรัฐพิธี มีห้องพระสุริยัน (ห้องประชุม ส.ส.) ห้องพระจันทรา (ห้องประชุม ส.ว.) และมีลานประชาชน ลานประชาธิปไตยขนาดใหญ่ เพื่อเอาไว้รองรับประชาชนที่ต้องการแสดงออกซึ่งสิทธิตามหลักประชาธิปไตย เป็นต้น